Dassault Systèmes ร่วมกับ CITE Research เผยผลสำรวจ ระบุ ปี 2030 ผู้บริโภคอยากเดินทางด้วยไฮเปอร์ลูปและมีหุ่นยนต์ช่วยงานบ้าน
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 24 มกราคม 2562 – แดสสอล์ท ซิสเต็มส์ (Dassault Systèmes)
ร่วมกับบริษัทวิจัยอิสระ CITE Research
เผยผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในเมืองใหญ่ พบว่า ภายในปี 2030
เทคโนโลยีจะเข้ามาเติมเต็มและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์
พร้อมคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
การเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง (Hyperloop) เปลี่ยนบ้านธรรมดาให้กลายเป็นสมาร์ทโฮม (Smart
Home) การใช้จ่ายผ่านอุปกรณ์โมบายล์ (Mobile Payment) และแผนการประกันสุขภาพส่วนบุคคล (Personalized Preventive Health Plan) สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความต้องการที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาท และอาจจะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้คนในอนาคต สอดคล้องกับคำตอบของกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม
จากผลสำรวจถึงประสบการณ์ใช้งานเทคโนโลยีในอนาคตที่ผู้บริโภคคาดหวังพบประเด็นสำคัญคือ ภายในปี 2030 . การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเติมเต็มประสบการณ์การใช้งานตามรสนิยมของผู้บริโภคเป็นเรื่องที่แบรนด์ควรตระหนัก ทั้งการใช้ชีวิตภายในบ้าน การเดินทาง สุขภาพ และการจับจ่ายใช้สอย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายหมวดหมู่ที่น่าสนใจ อาทิ เรื่องความปลอดภัย การใช้พลังงาน ความสะดวกสบายการเข้าถึง การออม และ ประกันชีวิต
ที่คาดหวังว่าจะมอบประโยชน์การใช้ชีวิตของพวกเขาจากเทคโนโลยีอื่นๆ
ข้อมูลที่ได้รับจากการตอบแบบสอบถาม:
1. ประสบการณ์ใช้งานตามรสนิยมของกลุ่มมิลเลนเนียลมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเทคโนโลยี
ชาวมิลเลนเนียลอายุระหว่าง 18 – 34 ปี ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ส่วนบุคคลดังนั้น เทคโนโลยีควรนำเสนอรูปแบบการใช้งานให้ตรงกับไลฟ์สไตล์โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตนเองและตลอดเวลา ผู้ตอบแบบสอบถามอายุ 35 ปีขึ้นไป คาดว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นอีกด้วย
2.ในปี 2030 บ้านจะยิ่งปลอดภัยและประหยัดพลังงานมากขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 70%กล่าวว่า ในอนาคตจะเลือกใช้อุปกรณ์ที่สามารถรีโมทเพื่อควบคุมและตรวจสอบ การสั่งงานด้วยเสียงและวางระบบภายในบ้านแบบสมาร์ทโฮม หรือ บ้านอัจฉริยะ ขณะที่ ผู้ตอบแบบสอบถาม 49%เลือกใช้แม่บ้านอัจฉริยะหรือหุ่นยนต์แม่บ้าน
3.ระบบไฟฟ้าและการเชื่อมต่ออัจฉริยะจะยกระดับระบบขนส่งมวลชนและยานยนต์ช่วยให้ประหยัดต้นทุน ลดเวลาในการเดินทางและสร้างความปลอดภัยให้กับผู้เดินทางบนท้องถนนมากยิ่งขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถาม มากกว่า 70%คาดการณ์ว่า จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถไฮบริดในอนาคต ขณะที่ กว่า 50% คาดว่าจะเลือกใช้ระบบขนส่งความเร็วสูงหรือรถไฟความเร็วสูง (Hyperloop) ด้านผู้ตอบแบบสอบถาม 38% คาดว่า จะมี “แท็กซี่ลอยฟ้า” เปิดให้ใช้บริการ ขณะที่ผู้ขับขี่กว่า 75% เชื่อว่าจะได้รับประสบการณ์ขับขี่รถยนต์ที่ดีขึ้นในอนาคต เช่น เทคโนโลยีเพื่อการวางแผนการเดินทางหรือกำหนดเส้นทางและแผนการควบคุมการจราจรในเขตเมือง อย่างไรก็ดีผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังไม่ยินดีที่จะเปิดให้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเพื่อใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ
4.แผนการประกันสุขภาพส่วนบุคคลและการติดตั้งเครื่องมือสำหรับดูแลสุขภาพภายในบ้าน
หรือโฮมทรีทเมนท์ (Home Treatment) จะใช้กันแพร่หลายมากยิ่งขึ้นผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 80% คาดว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้พวกเขาจัดการสุขภาพได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นซึ่งจะช่วยป้องกันโรคและช่วยให้พวกเขาใช้ชีวิตได้นานขึ้น โดย 83%มองว่าแผประกันสุขภาพที่ตรงกับพฤติกรรมหรือโภชนาการจะตอบโจทย์มากที่สุด 81% มองว่าจะซื้อเครื่องมือในการดูแลสุขภาพมาติดตั้งหรือนำมาใช้ที่บ้านเอง และ 80%คาดว่าจะมีระบบบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์เปิดให้ใช้บริการ 3 ใน 4ของผู้ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่า เทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชั่นสำหรับวินิจฉัยสุขภาพที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือที่บ้านอุปกรณ์สวมใส่ และศัลยกรรมกระดูกเทียมจะถูกนำมาใช้มากขึ้นในอนาคต
5.ร้านค้ารูปแบบเดิมจะยังมีอยู่สิ่งที่จะเพิ่มเข้ามาคือการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มความสะดวกในการชำระเงินและบริการต่างๆในร้านค้า ผู้ตอบแบบสอบถาม 84% เชื่อว่าการเปิดให้ชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือและการเพิ่มความสะดวกสบายด้านการส่งของได้ทุกที่ทุกเวลาช่วยเร่งให้อุตสาหกรรมซื้อขายสินค้าร้อนแรงมากยิ่งขึ้น ขณะที่ 45% เชื่อว่ การพัฒนาการซื้อขายผ่านร้านค้าเสมือนจริงให้สำเร็จภายในปี 2030 ยังไกลเกินเอื้อมผลการศึกษาฉบับนี้จัดทำขึ้นโดย แดสสอล์ท ซิสเต็มส์ ผ่านระบบถาม-ตอบแบบออนไลน์โดยผู้ตอบแบบสอบถามชาวอเมริกันกว่า 1,000 คน ระหว่างวันที่ 19 – 29 พฤศจิกายน 2561